#หยุดโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์
#หยุดเพิ่มภาระค่าไฟให้ประชาชน
ร่วมลงชื่อสนับสนุนข้อเรียกร้องของกลุ่ม Fossil Free Thailand ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มชุมชนผู้ที่อาจได้รับผลกระทบจากโรงไฟฟ้า และเครือข่ายภาคประชาชน จ.ฉะเชิงเทรา ตลอดจนกลุ่มองค์กรที่ทำงานขับเคลื่อนประเด็นการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยุติธรรมในประเทศไทย   

ให้ยกเลิกโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์  

ให้ยกเลิกโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ณ ต.เขาหินซ้อน จ.ฉะเชิงเทรา 

เนื่องจากโครงการดังกล่าวเป็นการลงทุนของประเทศที่ไม่จำเป็น หากปล่อยให้ดำเนินต่อไป อาจส่งผลกระทบในหลายมิติ ทั้งต่อสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และการประกอบอาชีพของชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า อีกทั้งเป็นการเพิ่มภาระค่าไฟให้กับประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศ ซึ่งรัฐมีอำนาจที่จะป้องกันผลกระทบเหล่านี้ไม่ให้เกิดขึ้นกับประชาชนได้โดยสั่งการให้ยุติการดำเนินงาน

เราจึงต้องการอย่างน้อย

10,000 รายชื่อ


เพื่อยื่นต่อ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)
ให้มีคำสั่งยกเลิกโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์
ณ ต.เขาหินซ้อน จ.ฉะเชิงเทรา

0

บุคคลทั่วไป

0

องค์กรและ

ภาคีเครือข่าย

อัปเดตรายชื่อล่าสุด 5 ตุลาคม 2568 เวลา 10:30 น. และยังต้องการรายชื่ออีก

ที่มาของโครงการ
โรงไฟฟ้าก๊าซ บูรพาพาวเวอร์

โรงไฟฟ้าก๊าซ บูรพาพาวเวอร์ เดิมคือโรงไฟฟ้าถ่านหินเขาหินซ้อน มีบริษัทเนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ NPS เป็นเจ้าของโครงการ กำลังการผลิตติดตั้ง 600 เมกะวัตต์ เป็น 1 ใน 4 โรงไฟฟ้าที่ชนะการประมูลรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตเอกชนรายใหญ่ (IPP) ครั้งที่ 2 ในปี 2550 ตามแผน PDP2007 แต่โครงการไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ เพราะถูกคัดค้านจากชุมชนเป็นเวลาร่วม 10 ปี ด้วยมีข้อห่วงกังวลเรื่องผลกระทบจากโรงไฟฟ้าที่นอกจากจะส่งผลต่อสุขภาพประชาชน ยังอาจส่งผลกระทบต่อการทำเกษตรอินทรีย์ การเพาะเห็ดฟาง รวมถึงการปลูกมะม่วงเพื่อส่งออก ซึ่งสร้างรายได้ให้เกษตรกรถึงปีละ 1,000 ล้านบาท รวมไปถึงปัญหาการแย่งชิงน้ำ เนื่องจากการใช้น้ำจากคลองท่าลาดเต็มศักยภาพแล้ว อีกทั้งในพื้นที่ภาคตะวันออกกำลังเผชิญปัญหามีโรงไฟฟ้ามากเกินความต้องการใช้ไฟฟ้าในภูมิภาค ประกอบกับมีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเพิ่ม

กระทั่งปี 2562 ทางบริษัทได้เปลี่ยนเชื้อเพลิงจากถ่านหินเป็นก๊าซ และเปลี่ยนชื่อโครงการเป็น ‘โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์’ โดยมีบริษัท บูรพา พาวเวอร์ เจเนอเรชั่น จำกัด เป็นเจ้าของโครงการ มีผู้ถือหุ้น 2 ราย ได้แก่ บริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นสัดส่วน 65% และบริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นสัดส่วน 35% ดำเนินการเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement: PPA) กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2562 โดยมีกำลังการผลิตตามสัญญาที่จะขายไฟเข้าสู่ระบบ 540 เมกะวัตต์ และได้เซ็นสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นเวลา 25 ปี เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2562 

 

โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ เป็นโรงไฟฟ้าประเภทพลังความร้อนร่วม ซึ่งใช้ก๊าซธรรมชาติจากบริษัท ปตท. เป็นเชื้อเพลิงหลัก โดยคาดว่าจะมีความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติประมาณ 31,025 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อปี ส่วนเชื้อเพลิงสำรองคือน้ำมันดีเซล โดยจะใช้ก็ต่อเมื่อได้รับการสั่งการโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยสั่งการให้เดินเครื่องด้วยน้ำมันดีเซลในกรณีฉุกเฉินเมื่อมีความขัดข้องในการจัดส่งก๊าซธรรมชาติ มีขนาดพื้นที่ประมาณ 127 ไร่ 2 งาน 54.25 ตารางวา ตั้งอยู่ที่ตำบลเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยแบ่งเป็น พื้นที่โรงไฟฟ้า : เนื้อที่ 97 ไร่ 59 ตารางวา และพื้นที่อ่างพักน้ำทิ้งจากหอหล่อเย็น (Cooling Tower Blown down Holding Pond) : เนื้อที่ 30 ไร่ 95.25 ตารางวา ห่างจากพื้นที่โรงไฟฟ้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 1.13 กิโลเมตร


โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในเดือนพฤศจิกายน 2568 และในแผน PDP2018 ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 1 กำหนดให้โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ เริ่มจ่ายไฟเข้าระบบในปี 2570 


ทำไมต้องยกเลิก

โครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์

1. ความไม่จำเป็นที่จะต้องมีโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ เพราะไฟล้นเกินอยู่แล้ว

ปัจจุบัน ไทยมีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญาในระบบอยู่ที่ 51,991.80 เมกะวัตต์ แต่ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดอยู่ที่ 34,568.30 เมกะวัตต์ จะพบว่ากำลังการผลิตไฟฟ้าที่มีอยู่ในระบบนั้นมากกว่าความต้องการใช้จริงถึง 17,423.5 เมกะวัตต์ ภาคตะวันออกมีปริมาณการใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 7,519 เมกะวัตต์ แต่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าสูงถึง 14,917.54 เมกะวัตต์ ซึ่งมากกว่าเกือบ 2 เท่า ส่วน จ.ฉะเชิงเทราเอง มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 670.08 เมกะวัตต์ มีกำลังการผลิตไฟฟ้า 3,428 เมกะวัตต์ ซึ่งมากกว่า 5 เท่า จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า ทั้งในระดับประเทศ ระดับภาค หรือระดับจังหวัด ไฟฟ้าที่มีในระบบล้วนล้นเกินทั้งหมด โดยไม่มีความจำเป็นจะต้องสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่ม

กำลังการผลิตที่มีในระบบที่มากกว่าความต้องการใช้จริง เห็นได้จากการที่โรงไฟฟ้าก๊าซเอกชนขนาดใหญ่ (IPP) ทั้ง 11 โรง ที่มีอยู่ ปัจจุบันยังไม่ได้ผลิตไฟฟ้าเต็มศักยภาพตามจำนวนกำลังการผลิตตามสัญญา โดยในปี 2567 มีโรงไฟฟ้า IPP ถึง 4 โรงที่ไม่ปรากฏตัวเลขที่ กฟผ. ซื้อไฟเลย รวม 4,281 เมกะวัตต์ ซึ่งมากกว่ากำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญาของโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ เกือบ 8 เท่า

และยังมีโรงไฟฟ้าก๊าซอีก 8 โรง ที่ปรากฏตัวเลขที่ กฟผ. ซื้อไฟเพียงบางเดือนเท่านั้น ไม่เต็มตามกำลังการผลิตตามสัญญา รวมแล้ว 8,169.31 เมกะวัตต์ ซึ่งมากกว่ากำลังการผลิตตามสัญญาของโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ กว่า 15 เท่าเลยทีเดียว และหากรวมกำลังการผลิตที่ไม่เกิดขึ้นของโรงไฟฟ้าก๊าซทั้งหมดในปี 2567 จะพบว่าสูงถึง 12,450.80 เมกะวัตต์ หรือมากกว่ากำลังการผลิตตามสัญญาของโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ 23 เท่า

2. โรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ใช้น้ำจำนวนมาก อาจทำให้ขาดแคลนและแย่งชิงทรัพยากรน้ำในพื้นที่

จากรายงาน EIA พบว่าโครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ จะมีการใช้น้ำในระยะดำเนินการ ในอัตรา 12,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน โดยมีบริษัท อินดัสเตรียล วอเตอร์ ซัพพลาย จำกัด เป็นผู้จัดหาน้ำนำมาเก็บในบ่อกักเก็บน้ำ จำนวน 1 บ่อ ขนาดความจุประมาณ 46,055 ลูกบาศก์เมตร โดยส่วนใหญ่ใช้ในกระบวนการหล่อเย็น ประมาณ 11,753 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน โดยได้รับอนุญาตจากกรมชลประทานให้สามารถสูบน้ำจากคลองระบม เฉพาะในช่วงเดือนกรกฎาคม – ตุลาคม (รวม 4 เดือน) 

จากข้อมูลพื้นฐานของจังหวัดฉะเชิงเทราพบว่าปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางจำนวน 5 แห่ง ณ วันที่ 21 กันยายน 2566 เท่ากับ 94.120 ล้าน ลบ.ม. (ปริมาณความจุรวมอ่างเก็บน้ำ 483.63 ล้าน ลบ.ม.) คิดเป็น 19.46 % ของความจุอ่างเก็บน้ำ ในขณะที่ความต้องการใช้น้ำของจังหวัดจำแนกเป็น 4 ด้าน คือ อุปโภคบริโภค 41.89 ล้าน ลบ.ม. ระบบนิเวศ 18.25 ล้าน ลบ.ม. เกษตรกรรม 1,304.73 ล้าน ลบ.ม. อุตสาหกรรม 108.92 ล้าน ลบ.ม. 

ในขณะที่คลองระบมนั้น จากข้อมูลของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ปัจจุบันมีการขอใช้น้ำจากบริษัทเอส ซี อินดัสทรี ปีละไม่เกิน 180,000 ลบ.ม./ปี บริษัทน้ำใส 304 ปีละไม่เกิน 8,000,000 ลบ.ม./ปี บริษัทบีบีจีไอ ไบโอเอทานอล ปีละไม่เกิน 493,700 ลบ.ม./ปี นอกจากนี้ ในส่วนของคลองท่าลาดซึ่งเป็นส่วนต่อปลายน้ำของคลองระบมนั้น ยังมีการขอใช้น้ำจากทั้งบริษัทเอกชนอย่าง บริษัท อินดัสเทรียล วอเตอร์ รีซอร์ส แมนเนจเม้นท์ จำกัด ปีละไม่เกิน 7,300,000 ลบ.ม./ปี บริษัท ที-วอเตอร์ (อีอีซี) จำกัด 80,000,000 ลบ.ม./ปี และการประปาอีก 4 แห่งคือ การประปาส่วนภูมิภาคสาขาพนมสารคาม (ท่ากง) 5,400,000 ลบ.ม./ปี การประปาส่วนภูมิภาคสาขาพนมสารคาม (เกาะขนุน) 3,600,000 ลบ.ม./ปี การประปาส่วนภูมิภาคสาขาบางคล้า 7,200,000 ลบ.ม./ปี การประปาส่วนภูมิภาคสาขาพนัสนิคม 10,000,000 ลบ.ม./ปี การประปาส่วนภูมิภาคสาขาฝายท่าลาด 35,000,000 ลบ.ม./ปี 

การที่โครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ จะมีการใช้น้ำในระยะดำเนินการในอัตรา 12,000 ลบ.ม/วัน โดยจะสูบน้ำจากคลองระบม ซึ่งเป็นต้นน้ำของการใช้น้ำในลุ่มน้ำคลองระบม-คลองท่าลาด นั้น ทำให้ประชาชนเกิดความกังวลว่าจะเกิดการแย่งชิงทรัพยากรน้ำและทำให้น้ำไม่พอใช้ เพราะน้ำในในลุ่มน้ำคลองระบม-คลองท่าลาด เป็นทรัพยากรที่จะถูกนำไปใช้ภาคส่วนต่างๆ ในหลายพื้นที่ของจังหวัดฉะเชิงเทรา

3. โรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ลิดรอนสิทธิที่ดินทำกินของประชาชนจากการเวนคืนที่ดินเพื่อไปทำสายส่ง

การก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ยังมีการลิดรอนสิทธิที่ดินทำกินของประชาชนจากการเวนคืนที่ดินเพื่อไปทำสายส่งอีกด้วย ทั้งนี้เขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าที่กำหนดมีความยาว 14.18 กิโลเมตร และความกว้าง 60 เมตร ผ่านท้องที่จำนวน 4 ตำบล 2 อำเภอของจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งส่งผลให้พื้นที่ทำกินของประชาชนอาจได้รับผลกระทบจากการถูกลิดรอนสิทธิในที่ดินทำกินกว่า 531.75 ไร่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ทำกินทั้งนาข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง และยูคาลิปตัส

นอกจากนั้นยังพบว่ากระบวนการรับฟังความคิดเห็นและกระบวนการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมายยังไม่ครอบคลุมและทั่วถึงต่อกลุ่มบุคคลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง เนื่องจากกระบวนการไม่ได้มีการชี้แจงข้อมูลข่าวสารอย่างครบถ้วนและไม่ได้มีการเปิดเวทีรับฟังอย่างเป็นทางการตามเจตนารมณ์ของหลักการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย และมีประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างน้อย 62 คนที่ไม่ได้รับการแจ้งข้อมูลข่าวสารอย่างครบถ้วนล่วงหน้า ส่งผลให้ประชาชนกลุ่มนี้ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นต่อการพิจารณาผลกระทบต่อสิทธิและการดำรงชีวิตของตนเองได้อย่างเหมาะสม

4. มลพิษจากโรงไฟฟ้าอาจส่งผลกระทบต่อพืชผลการเกษตร และคุณภาพชีวิตของประชาชนรอบโรงไฟฟ้า

โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม ซึ่งเชื้อเพลิงหลักคือก๊าซธรรมชาติ การผลิตไฟฟ้าด้วยการนำก๊าซซึ่งก็คือเชื้อเพลิงฟอสซิลมาเผาทำให้เกิดก๊าซที่มีฤทธิ์เป็นกรดอย่างก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) และก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) อาจส่งผลกระทบต่อพืชผลการเกษตร ตลอดจนคุณภาพชีวิตของประชาชนรอบโรงไฟฟ้า โดยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) จะส่งผลเสียต่อพืชผลทางการเกษตรโดยตรง ทำให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อพืช ใบไหม้ และอาจทำให้อ่อนแอต่อโรคได้ ในขณะที่ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) มีผลกระทบต่อพืชผลการเกษตรได้หลายด้าน ทั้งทำลายเนื้อเยื่อพืช ทำให้เกิดความเสียหายต่อใบและลดการสังเคราะห์แสง และในระยะยาวอาจส่งผลให้ผลผลิตลดลง

โดยใน EIA กำหนดพื้นที่อ่อนไหวต่อผลกระทบสิ่งแวดล้อมไว้ในรัศมี 5 กิโลเมตรจากโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ซึ่งกินพื้นที่ใน 3 ตำบล ใน 2 อำเภอ คือ ต.เขาหินซ้อน ต.คู้ยายหมี และต.เกาะขนุน จากข้อมูลพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พบว่าในเขต 3 ตำบลดังกล่าวมีการปลูกพืชเศรษฐกิจรวม 123,055.16 ไร่ เช่น ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ฯลฯ รวมมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงถึง 1,146,531,803.72 บาท/ปี

ไม่เพียงแค่พืชเศรษฐกิจหลักเท่านั้น แต่ในพื้นที่ดังกล่าวและพื้นที่ใกล้เคียง ยังเป็นพื้นที่หลักในการปลูกมะม่วงซึ่งถือเป็นผลไม้เศรษฐกิจของจังหวัดอีกด้วย โดยเฉพาะมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ถือเป็นพืช GI ของจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยในปีที่ผ่านมาสามารถสร้างผลผลิตได้ 14,019.46 ตันต่อปี ในพื้นที่กว่า 17,000 ไร่ สร้างมูลค่าประมาณ 518 ล้านบาท และในพื้นที่โดยรอบยังเป็นพื้นที่เกษตรอินทรีย์ที่มีชื่อเสียงของ จ.ฉะเชิงเทราอีกด้วย โดยเฉพาะการทำเกษตรอินทรีย์ที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนฯ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งอยู่ห่างจากโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์เพียง 5.74 กิโลเมตร มีพื้นที่ทำการเกษตรอินทรีย์ 1,369 ไร่ เกษตรกร 297 ราย โดยเฉพาะการเพาะเห็ดนางฟ้าภูฏาน เห็ดหลินจือแดง เห็ดยานางิ หรือการปลูกข้าวขาวดอกมะลิ 105

การที่กระบวนการเดินเครื่องของโรงไฟฟ้าก๊าซมีแนวโน้มที่จะปลดปล่อยมลพิษทั้งก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) และก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) อาจสร้างความเสียหายต่อพืชผลการเกษตรในพื้นที่โดยรอบโรงไฟฟ้าในพื้นที่สามตำบล ทั้งพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ฯลฯ ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 1,146,531,803.72 บาท/ปี รวมไปถึงผลไม้เศรษฐกิจหลักของจังหวัดอย่างมะม่วง และมะม่วงน้ำดอกไม้ที่เป็นพืช GI ของฉะเชิงเทรา และเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งผลิตผลทางการเกษตรที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในพื้นที่

ไม่เพียงแค่นั้นทั้งไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) ยังเป็นสารตั้งต้นหลักในการเกิดมลพิษ PM 2.5 โดยเฉพาะ ไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) ซึ่ง NASA ระบุว่าเป็น “ตัวบ่งชี้หลักของการปล่อยมลพิษจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง” เมื่ออยู่ในชั้นบรรยากาศ ก๊าซเหล่านี้จะเกิดปฏิกิริยาเคมีและกลายเป็นฝุ่นละอองขนาดเล็ก โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 ที่อาจสร้างผลกระทบต่อประชาชนรอบโรงไฟฟ้าอีกด้วย

5. สวนอุตสาหกรรม 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค 2 จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นที่ตั้งโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์
ต้องการไฟสะอาดในการทำอุตสาหกรรม ไม่ใช่ไฟจากโรงไฟฟ้าก๊าซ

ประเทศไทยตั้งเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกภายใต้แผน NDC 3.0 ที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องลดก๊าซเรือนกระจก 109.2 ล้านตันให้ได้ภายในปี 2578 ในปี 2565 ประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม 385,941.14 กิโลตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยมาจากภาคพลังงานสูงสุด 254,307.21 กิโลตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ดังนั้นการจะเพิ่มโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์เข้าสู่ระบบไฟฟ้าของประเทศ และมีระยะเวลาสัมปทานนานถึง 25 ปี จึงอาจจะทำให้ประเทศไทยไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้ภายใต้กรอบเวลาใหม่ภายในปี 2050

ไม่เพียงแค่นั้น สวนอุตสาหกรรม 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค 2 ก็เพิ่งจะได้รับการสนับสนุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับนักลงทุนที่เข้ามาในประเทศไทย พร้อมประกาศตัวว่าจุดหมายสำหรับอุตสาหกรรม Data Center ซึ่งอุตสาหกรรม Data Center นั้นต้องการไฟฟ้าสะอาด ซึ่งก็คือไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ไม่ใช่จากโรงไฟฟ้าก๊าซ

และบริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย (NPS) มีกำไรสุทธิครึ่งปีแรก 2568 จำนวน 717 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 101.6% จากปีที่แล้ว ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการใช้พลังงานสะอาดจากเชื้อเพลิงชีวมวลและพลังงานแสงอาทิตย์แบบผสมผสาน ส่งผลให้ต้นทุนเชื้อเพลิงลดลงประมาณ 30% และผู้บริหารบริษัทยังระบุว่าทำให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมต่างประเทศที่ต้องการควบคุม Carbon Footprint ในการผลิตสินค้าตัดสินใจเข้ามาลงทุนสร้างโรงงานในสวนอุตสาหกรรม 304 ที่มี NPS เป็นผู้ให้บริการเพิ่มมากขึ้น

ดังนั้น การที่ NPS ซึ่งลงทุนในสวนอุตสาหกรรม 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค 2 จะสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ในสวนอุตสาหกรรม 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค 2 จึงเป็นความขัดแย้งทั้งในประเด็นเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกในระดับชาติ และการดำเนินธุรกิจการให้บริการไฟฟ้าสะอาดแก่อุตสาหกรรมต่างประเทศของบริษัทเอง

 

ร่วมลงชื่อในนาม

บุคคล
ทั่วไป

บุคคล
ทั่วไป

องค์กร

องค์กร

ภาคี
เครือข่าย

ภาคี
เครือข่าย

ร่วมลงชื่อกับเรา
ในนามบุคคล

JOIN US FOR CHANGE

ฟอร์ม นามบุคคล

*ข้อมูลของท่านจะได้รับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (PDPA)

แชร์ให้เพื่อนๆ มาร่วมลงชื่อ
หยุดโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ด้วยกัน

Share
Post

ร่วมลงชื่อกับเรา
ในนามองค์กร

JOIN US FOR CHANGE

ฟอร์ม นามองค์กร

*ข้อมูลของท่านจะได้รับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (PDPA)

แชร์ให้เพื่อนๆ มาร่วมลงชื่อ
หยุดโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ด้วยกัน

Share
Post

ร่วมลงชื่อกับเรา
ในนามภาคีเครือข่าย

JOIN US FOR CHANGE

ฟอร์ม นามภาคีเครือข่าย

*ข้อมูลของท่านจะได้รับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (PDPA)

แชร์ให้เพื่อนๆ มาร่วมลงชื่อ
หยุดโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ด้วยกัน

Share
Post

บทความที่เกี่ยวข้อง

ร่วมส่งเสียง #หยุดโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ไปกับ